เรื่อง ใต้เท้าเปาสอบสวนก้อนหิน
ในรัชสมัยจักรพรรดิเหรินจงแห่งราชวงศ์ซ่ง ยังมีขุนนางผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีผดุงความยุติธรรมโดยไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ใต้หล้ารู้จักท่านในนามว่าใต้เท้าเปา หรือเปาบุ้นจิ้นผู้โด่งดัง
วันหนึ่งเปาบุ้นจิ้นนั่งเกี้ยวผ่านไปบนถนนแห่งหนึ่งแลไปเห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อย่างน่าเวทนา จึงสั่งหยุดเกี้ยว แล้วลงไปถามว่า
“เด็กน้อย ใยเจ้าจึงมานั่งร้องไห้เยี่ยงนี้?”
เด็กสะอื้นไห้ตอบว่า “เงินหนูหายไปหมด! ตั้งแต่เช้าหนูขายน้ำมันมาได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงแต่ตอนนี้หายไปหมดแล้ว”
เปาบุ้นจิ้นสงสัย จึงถามอย่างเมตตาว่า “เจ้าหนูลองคิดดูดีๆ อยู่ๆ เงินของเจ้าจะหายไปได้อย่างใร?”
เด็กน้อยตอบด้วยน้ำตานองหน้าว่า “แม่สั่งหนูให้มาขายน้ำมันแต่เช้ามืด สายๆ หนูง่วงมากเลยเผลอหลับไปข้างหินก้อนนี้ เผลอหลับไปแปบเดียวเอง พอรู้ตัวอีกที เงินที่มีอยู่ในตัวหนูก็หายไปเกลี้ยง”
เปาปุ้นจิ้นสดับฟังอย่างละเอียดจนเด็กน้อยพูดจบ จึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “เรื่องนี้เจ้าหัวขโมยจะต้องเป็นหินก้อนนี้ที่ขโมยเงินเจ้าตอนที่เผลอหลับไป ข้าจำเป็นจะต้องสอบสวนเจ้าหินก้อนนี้เสียแล้ว”
จากนั้นเปาปุ้นจิ้นก็สั่งให้ทหารนำกระบองหวดก้อนหินนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกพร้อมกับตวาดเสียงดังว่า “เจ้าก้อนหินบอกความจริงมาเดี๋ยวนี้ เจ้าใช่ไหมที่ขโมยเงินเด็กน้อยคนนี้ไป?”
เหตุการณ์ดำเนินไปผู้คนยิ่งสนใจมากขึ้นจึงกลายสภาพเป็นไทยมุง ผู้คนเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เริ่มซุบซิบว่า “ที่ลือกันว่าใต้เท้าเปาสอบสวนคดีเก่งกาจ ที่แท้วันนี้ก็เห็นกับตาว่าก็แค่ท่านเปาปุ้นเพี้ยนนั่นเอง!”
ขณะเดียวกันก็มีเสียงคนหนึ่งพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ใต้เท้าเปา! ท่านสั่งหวดหินก้อนนี้จนกระบองแตกหักมันก็ตอบท่านไม่ได้หรอก”
“นี่ใครบังอาจลบหลู่ข้า! ใครกัน?” เปาปุ้นจิ้นตวาด บรรดาไทยมุงเงียบกริบหามีใครสารภาพไม่
“ดีละ เมื่อไม่มีใครสารภาพ ข้าจะปรับพวกเจ้าทุกคนในที่นี้คนละหนึ่งตำลึง” เมื่อเหตูการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ บรรดาไทยมุงพากันเงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจคนยืนข้างๆ
ทหารนำตะกร้ามาวางลงบนพื้นต่อหน้าเปาปุ้นจิ้น บรรดาผู้คนทยอยเดินออกมาโยนเงินค่าปรับหนึ่งตำลึงลงในตะกร้า
ทันใดนั้นสายตาเปาปุ้นจิ้นจ้องมองไปยังชายชุดดำที่กำลังจะก้าวถอยออกไป ภายหลังจากโยนเหรียญใส่ตะกร้า
“หยุด! เจ้าคือหัวขโมย เงินที่ขโมยเด็กคนนี้ไปอยู่ที่ไหน? ” เปาปุ้นจิ้นตวาดด้วยเสียงอันดัง
ชายชุดดำถึงกับตะลึง ทำอะไรไม่ถูก อยู่ๆ สถานการณ์กลับตาลปัตร ฝูงชนเริ่มงุนงง มีเสียงหนึ่งตะโกนออกมาว่า
“ใต้เท้าเปา รู้ได้อย่างไรว่าชายคนนี้คือขโมย?” ฝูงชนเสียงฮือก้องเป็นระยะๆ ว่าเห็นด้วย เปาปุ้นจิ้นจึงก้มลงหยิบเหรียญที่ชายชุดดำโยนลงตะกร้านั้นขึ้นมาให้คนที่มุงอยู่ดู
“เหรียญอันนี้เปื้อนน้ำมันใช่หรือไม่?” เปาปุ้นจิ้นถาม
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้มองเห็นต่างตอบว่า “ใช่”
เปาปุ้นจิ้นถามอีกว่า “เหรียญอื่นๆในตะกร้าเปื้อนน้ำมันหรือไม่?”
“ไม่เปื้อน” ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ตอบ
เปาปุ้นจิ้นจึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า “เหรียญเปื้อนน้ำมันเป็นของเจ้าหนูขายน้ำมันคนนี้ เนื่องจากมือเขาเปื้อนน้ำมันจับเหรียญ เหรียญย่อมต้องเปื้อนน้ำมันแน่นอน”
การตัดสินของเปาปุ้นจิ้นเป็นไปด้วยเหตุผล ยืนอยู่บนพื้นฐานของประจักษ์พยาน ฝูงชนต่างร้องตะโกนใส่ชายชุดดำให้คืนเงินที่ขโมยไปแก่เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เจ้าหัวขโมยย่อมไม่มีทางเลือกจำต้องหยิบเงินเหรียญอีกเก้าสิบเก้าตำลึงที่เปื้อนน้ำมันออกมาคืนให้