เรื่องเล่าจากฉางเจียง ตอนสตรีในชุดดำ
ในสมัยราชวงศ์ชิง ณ มณฑลเจียงซู ยังมีเจ้าเมืองคนหนึ่งนามว่าใต้เท้า “ฉู่” อยู่มาคราวหนึ่งได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นผู้ดูแลการขนเงินท้องพระคลังไปส่งยังเมืองหลวง “เป่ยจิง” (ปักกิ่ง) ทว่าเส้นทางนั้นห่างไกลทุรกันดารจำต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน การเดินทางจึงจำเป็นต้องหยุดพักแรมเป็นระยะๆ
สถานที่แวะพักแห่งหนึ่งซึ่งกำหนดไว้นั้นอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล มีชื่อว่าเมือง “หลินชิง” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลชานตง พื้นที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าชุกชุมด้วยซ่องโจร
ทันทีที่ขบวนของใต้เท้าฉู่เดินทางมาถึงยังโรงเตี๊ยมของเมืองซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในเมืองหลินชิง ปรากฏว่ามีสตรีกลุ่มหนึ่งในโรงเตี๊ยมเข้ามาห้อมล้อม ขับเสียงเพลงร้องประสาน บ้างก็เล่นเครื่องดนตรีคอยขับกล่อมเอาอกเอาใจให้เพลิดเพลิน การปฏิบัติเช่นนี้ในสมัยนั้นนับเป็นประเพณีปฏิบัติทางภาคเหนือของจีน จากประสบการณ์ของใต้เท้าฉู่มองออกว่าแท้จริงแล้วสตรีกลุ่มนี้เป็นหญิงบริการที่คอยมองหาลูกค้าที่มีฐานะดี หากสตรีกลุ่มนี้ขับกล่อมลูกค้าจนเป็นที่พออกพอใจแล้ว และลูกค้าต้องตาหมายใจกับสตรีนางใดเป็นพิเศษ มีความปรารถนาที่จะค้างคืนกับนางคนนั้นแล้ว สิ่งที่ลูกค้าพึงกระทำก็คือสั่งให้หญิงคนนั้นนำผ้าพันคอของตนไปวางไว้ในห้องนอน ราคาค่าบริการที่จ่ายก็เพียงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับค่าบริการที่คิดกันทางตอนใต้ของจีน ทว่าหญิงเหล่านี้มักจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเหล่ากลุ่มโจรในพื้นที่ เมื่อหญิงเหล่านี้ค้างคืนกับลูกค้าก็มักจะคอยสังเกตว่าลูกค้าคนนั้นมีทรัพย์สินเงินทองติดตัวมามากน้อยเพียงใด
ใต้เท้าฉู่เคยเดินทางราชการและท่องเที่ยวมาหลายครั้ง ข่าวที่ผู้คนพูดถึงเมืองหลินชิงมักจะลือกันว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกปล้นทำร้าย ใต้เท้าฉู่สังเกตการแสดงออกของหญิงเหล่านี้รู้ดีว่าพวกนางมิได้แสดงออกเองโดยธรรมชาติ ทว่าจะมีสตรีนางหนึ่งสวมใส่ชุดสีดำคอยกำกับอยู่ ไม่ว่าพวกนางจะขับร้องหรือบรรเลงเครื่องดนตรี แม้แต่แสดงการเอาอกเอาใจต่อลูกค้าก็ตามมักจะมีสัญญาณจากนางผู้สวมใส่ชุดดำคนนี้เสมอ ถ้าสังเกตสตรีชุดดำผู้นี้จะแต่งตัวแตกต่างจากหญิงคนอื่นๆ ซึ่งแต่งหน้าทาแป้งหนาสวมใส่ชุดที่เย้ายวน ทว่าหญิงคนนี้มิได้แต่งหน้าทาแป้งเสริมแต่งสีใดๆ มองดูหน้าตาช่างงดงามเป็นธรรมชาติยิ่ง อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบปี ประเมินแล้วนางน่าจะเป็นผู้ควบคุมสตรีกลุ่มนี้อยู่ จากสัญชาตญาณใต้เท้าฉู่รู้ดีว่าตนตกอยู่ภายใต้สถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง ทว่าเมืองนี้ก็เป็นพื้นที่ห่างไกลยากที่จะขอกำลังช่วยเหลือจากเมืองหลวงได้
ใต้เท้าฉู่คำนวณดูทางรอดคราวนี้มีเพียงวิธีเดียวคือต้องทำใจดีสู้เสือ เผชิญหน้ากับสตรีผู้สวมชุดดำนางนี้ ฉะนั้นใต้เท้าฉู่จึงแจ้งความประสงค์ต่อเหล่าสตรีว่าตนปรารถนาจะขอค้างคืนกับสตรีที่สวมใส่ชุดสีดำผู้นี้ตามลำพัง ปรากฏว่าสตรีชุดดำยินดีที่จะให้บริการ ใต้เท้าฉู่จึงได้สั่งสุราอาหารให้ส่งไปที่ห้องนอน พร้อมเชื้อเชิญนางให้กินดื่มสนทนากัน ใต้เท้าฉู่เริ่มต้นเล่าชีวิตความเป็นมาของตนในวัยเด็กว่าตนเกิดมาจากครอบครัวที่อดอยากยากจน ทว่าตนเองได้ต่อสู้บากบั่นทำงานทุกอย่างที่สุจริตมิได้ย่อท้อจึงได้ก้าวมาถึงจุดที่เป็นอยู่ในวันนี้ ขณะเดียวกันนางก็เล่าให้ฟังว่าชีวิตนางเกิดมาในครอบครัวที่ขัดสน นางไม่สามารถเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้ นางจึงจำต้องมาเป็นหญิงบริการเพื่อความอยู่รอด ใต้เท้าฉู่ฟังนางเล่าด้วยความตั้งอกตั้งใจขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงความเห็นใจนาง ให้กำลังใจนางว่าในประวัติศาสตร์จีน วีรสตรีหลายนางก็เคยมีพื้นเพเป็นหญิงคณิกามาก่อน ทว่าสตรีเหล่านี้มีปณิธานที่มุ่งมั่น เวลาต่อมาหญิงเหล่านี้หลายนางได้แต่งงานกับบัณฑิตได้รับการยกย่องสรรเสริญ คำพูดด้วยน้ำใสใจจริงของใต้เท้าฉู่ทำให้นางถีงกับนิ่งเงียบไป คล้ายกับมีท่าทีคล้อยตามคำพูด
จากนั้นใต้เท้าฉู่ก็เปิดเผยความจริงต่อนางว่าการเดินทางครั้งนี้เนื่องจากตนเองได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นผู้ควบคุมการขนส่งเงินท้องพระคลังหนึ่งล้านตำลึงไปยังเมืองหลวง
เวลาหมุนผ่านไปนานเท่าใดไม่เป็นที่ประจักษ์ บุคคลทั้งสองนั่งสนทนากันจวบจนภายนอกหิมะเริ่มโปรยปรายแผ่นดินภายนอกดั่งถูกทาแต่งแต้มด้วยสีขาวไปทั่วทั้งผืนดิน มองดูจากภายใต้แสงจันทร์ช่างเป็นภาพที่งดงามช่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก ฟืนในเตาผิงเริ่มริบหรี่ลง แสงจากตะเกียงเริ่มอ่อนแรง ทำให้อากาศในห้องนอนหนาวเย็นลง เรือนร่างอันอรชรภายใต้ชุดผ้าไหมสีดำเบาบางเกิดอาการสั่นไหว ใต้เท้าฉู่จึงได้ลุกขึ้นเดินไปยังหีบเสื้อนำเอาเสื้อคลุมขนสัตว์มาคลุมบนไหล่ของนาง คนทั้งสองสนทนากันอย่างสนิทสนมเสมือนสหายที่มิได้พบปะกันมาเป็นเวลาอันยาวนาน ทว่าใต้เท้าฉู่ก็สงวนท่าทีมิได้แตะต้องสัมผัสถูกตัวนางแต่อย่างใด
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของจีนในอดีต ก่อนที่อาทิตย์จะทอแสงแรกบนท้องฟ้า หญิงคณิกาจะต้องออกจากห้องของลูกค้า สตรีในชุดดำจึงได้ลุกขึ้นถอดเสื้อขนสัตว์ออกจากไหล่คืนให้แก่ใต้เท้าฉู่ ขณะที่นางกำลังจะก้าวออกจากประตูห้องไปนั้น ใต้เท้าฉู่ก็ได้กล่าวว่า “แม่นางควรสวมเสื้อตัวนี้ไปด้วย มันจำเป็นนะ ภายนอกอากาศหนาวเย็นมาก” ใต้เท้าฉู่กล่าวพร้อมยื่นเสื้อขนสัตว์และเงินสี่ตำลึงใส่ในมือนาง
“ขอขอบคุณน้ำใจของใต้เท้า ท่านยังมิได้รับบริการใดๆ จากข้าเลย ดังนั้นข้าไม่สมควรจะรับเงินและเสื้อจากท่าน” นางกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นนางควรสวมใส่เสื้อขนสัตว์ตัวนี้ออกไป ข้าขอมอบให้แก่นางด้วยความชื่นชมและนับถือ นางมิใช่ผู้หญิงธรรมดา ข้าขอบใจนางที่ได้อุตสาห์อยู่สนทนาเป็นเพื่อนกับข้า” ใต้เท้าฉู่กล่าว
นางจึงกล่าวขอบคุณและจากไป ใต้เท้าฉู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เวลาผ่านไปชั่วครู่มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตูห้อง ใต้เท้าฉู่เปิดประตูห้องออกปรากฏว่าเป็นสตรีสวมชุดดำผู้เดิมกลับมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“ข้าปรารถนาที่จะบอกท่านตามความจริงว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นโจร” นางกล่าวด้วยอย่างรีบเร่ง “บิดาของข้าเป็นหัวหน้าโจรคุมพื้นที่แถวนี้ ส่วนข้าก็คอยทำตัวเป็นเหยื่อหลอกล่อพวกคนเดินทาง ข้ายังเป็นสาวบริสุทธิ์ ที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยยอมให้ชายใดสัมผัสแตะต้องถูกตัวข้า หากใครพยายามใช้แรงข่มขืนข้า ข้าจะแทงมันด้วยมีดสั้นเล่มนี้ ข้าขอบคุณท่านในน้ำใสใจจริงที่ได้แสดงออกต่อข้า เมื่อข้ากลับถึงบ้านแล้ว ข้าจะให้คนนำเสื้อขนสัตว์มาคืนให้แก่ท่านพร้อมของสิ่งหนึ่งอันจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอย่างมาก เมื่อท่านได้รับแล้วขอให้ใต้เท้ารีบออกเดินทางก่อนที่หิมะจะตกหนักถนนจะลื่นอันตรายมาก” นางกล่าวเสร็จก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ใต้เท้าฉู่โค้งให้แก่นางเพื่อแสดงความขอบคุณ ภายในจิตใจบังเกิดความรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก ปัญหาความหนักใจท้ายที่สุดก็ได้รับการแก้ไขแล้ว
ต่อมาอีกชั่วครู่ใหญ่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาพบพร้อมกับมอบเสื้อขนสัตว์ตัวนั้นคืนให้พร้อมกับสิ่งของที่บรรจุอยู่ในห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งให้แก่ใต้เท้าฉู่
“ของห่อนี้คุณหนูของข้าสั่งให้นำมามอบแก่ใต้เท้า” ชายหนุ่มกล่าว “สิ่งของภายในห่อนี้จะมีประโยน์ต่อท่าน
อย่างมาก หากท่านประสบภัยอันตรายขณะเดินทาง ขอให้นำติดตัวไว้ตลอดการเดินทางจวบจนเมื่อเดินทางไปถึงเมืองหยางหลิวชิง จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองเข้าพบ
ท่านเพื่อขอรับสิ่งของชิ้นนี้คืน ขอให้ใต้เท้าช่วยส่งมอบสิ่งของชิ้นนี้คืนให้แก่เจ้าหน้าที่คนนั้นด้วย”
ใต้เท้าฉู่ได้หยิบเงินหนึ่งตำลึงออกมาเพื่อมอบให้เป็นสินน้ำใจแก่ชายหนุ่มผู้นี้ ทว่าชายหนุ่มกลับปฎิเสธที่จะรับไว้ “คุณหนูของข้าได้กำชับห้ามมิให้รับสินน้ำใจใดๆ จากใต้เท้าโดยเด็ดขาด” ชายหนุ่มกล่าว
ใต้เท้าฉู่ได้แกะห่อผ้าออก รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่พบว่าสิ่งของที่อยู่ภายในห่อเป็นธงสามเหลี่ยมผืนเล็กๆผืนหนึ่งปรากฏอยู่
ใต้เท้าฉู่ทราบดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกเดินทางต่อ ทว่าสารถีที่ได้ว่าจ้างไว้กลับปฏิเสธที่จะออกเดินทางโดยอ้างเหตุผลว่าเส้นทางที่ต้องเดินทางผ่านนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ใต้เท้าฉู่มิได้ปริปากกล่าวคำพูดใดๆ เพียงแต่หยิบธงสามเหลี่ยมผืนเล็กนั้นออกมาจากสัมภาระ จากนั้นนำออกมาติดไว้เหนือหน้าต่างรถม้าที่อยู่หน้าขบวน
“ใต้เท้า ท่านได้ธงผืนนี้มาได้อย่างไร!” สารถีตะโกนถาม “แบบนี้พวกเราปลอดภัยอย่างแน่นอนออกเดินทางเถอะ”
เมื่อขบวนรถม้าได้เดินทางมาได้ระยะทางสักห้าสิบลี้ ปรากฏมีกลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธกว่ายี่สิบนายนั่งอยู่บนหลังม้าขวางทางข้างหน้าไว้ จากนั้นชายฉกรรจ์เหล่านี้กระจายกำลังออกล้อมขบวนรถม้า ทว่าเมื่อมองเห็นธงผืนสามเหลี่ยมอยู่เหนือหน้าต่างรถม้าที่ใต้เท้าฉู่นั่งอยู่ ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ส่งสัญญาณสั่งให้พวกตนเองล่าถอยออกไปโดยมิได้ทำอันตรายใดๆ เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เกิดซ้ำกันหลายครั้งจวบจนขบวนรถม้าของใต้เท้าฉู่ได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองหยางหลิวชิงซึ่งก็เป็นเวลาผ่านมาหลายวัน
เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณด้านหน้าที่ทำการรักษาความปลอดภัยของเมือง ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งออกมาให้การต้อนรับพร้อมทั้งจัดเลี้ยงอาหารค่ำอย่างดีเพื่อเป็นเกียรติ เมื่อถึงเวลาพักผ่อนเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้ติดตามมาส่งถึงหน้าประตูห้องพัก เขากระซิบถามความเป็นมาที่ได้รับธงสำคัญผืนนี้มา ใต้เท้าฉู่จึงได้เล่าความเป็นมาที่ได้พบกับสตรีสวมชุดดำ
“ใต้เท้า! ธงสามเหลี่ยมผืนนี้เป็นของขวัญอันล้ำค่าที่สุดที่นางได้มอบให้แก่ท่าน นางคงมีใจชอบท่านอย่างมาก ขณะนี้ท่านก็อยู่ที่เมืองหยางหลิวชิงซึ่งเป็นพื้นที่เขตอิทธิพลสุดท้าย จากนี้ไปท่านก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ธงผืนนี้อีกแล้ว”
ใต้เท้าฉู่จึงได้ส่งมอบธงสามเหลี่ยมผืนดังกล่าวคืนแก่เจ้าหน้าที่คนนั้นและกล่าวขอบคุณที่ได้ให้การต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดี รุ่งเช้าวันต่อมาขบวนรถม้าของใต้เท้าฉู่ก็เดินทางออกจากเมืองไป